หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางค่าย BMW ได้ปล่อยรถอเนกประสงค์พลังไฟฟ้า หรือ EV SAV อย่าง BMW iX3 และ iX ออกมา ซึ่งเป็นรุ่นกลางและรุ่นใหญ่ออกมา ในที่สุดก็เป็นคิวของน้องเล็ก BMW iX1 ผู้มาพร้อมสมรรถนะที่เร้าใจเกินตัว โดยมาในรหัสต่อท้าย xDrive30 ซึ่งนั้นหมายความว่า จะเป็นรถที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นมาตรฐาน ซึ่งการมาของ BMW iX1 xDrive30 ถือเป็นครั้งแรกที่ค่าย BMW ได้ปล่อยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพรีเมี่ยมที่มีขนาดกะทัดรัด ออกมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในตลาดรถ EV
BMW iX1 xDrive30
เป็นรถที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่แพลตฟอร์ม FAAR (Frontantriebsarchitektur เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่าแพลตฟอร์มสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้า) ซึ่งเป็นโครงสร้างในรูปแบบโมดูล่าร์ที่รองรับทั้งการใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์สันดาป, ปลั๊กอินไฮบริด และไฟฟ้าล้วน (ถูกใช้ใน BMW X1 เจนเนอเรชั่นที่ 3 ในรหัสตัวถัง U11 ด้วย) ภาพลักษณ์ของ BMW iX1 xDrive30 ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก BMW X1 ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ล้วนๆ อยู่เล็กน้อย เช่น การเพิ่มจุดเด่นในความเป็นรถ EV เข้าไปด้วยกรอบกระจังหน้า รวมถึงเส้นขอบทริมที่มาในสีฟ้ารอบคัน โดย BMW iX1 xDrive30 มาพร้อมระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์คู่ ให้กำลังรวม 313 แรงม้า พร้อมกับแรงบิด 494 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 5.7 วินาที พร้อมทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 180 กม./ชม.
ชุดแพ็คแบตเตอรี่ของ BMW iX1 xDrive30 มาในขนาด 64.7 kWhวางราบอยู่กับพื้นรถ เพื่อให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ้่วงที่ต่ำ ทรงตัวได้อย่างมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยแบตเตอรี่ชุดนี้ รองรับการเดินทางต่อชาร์จได้ไกลสุด 438 กม. ตามมาตรฐาน WLTP จากอัตราการใช้พลังงานที่อยู่ในช่วงระหว่าง 17.3 – 18.4 kWh ต่อ 100 กม. ส่วนความสามารถในการรองรับแรงเคลื่อนไฟอยู่ที่ 400 โวลต์ หรือรองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุดด้วยไฟกระแสตรง 130 kWh ซึ่งช่วยให้ BMW iX1 xDrive30 ชาร์จแบตเตอรี่จาก 10-80% ได้ภายใน 29 นาที (หรือชาร์จประมาณ 10 นาที วิ่งได้ไกล 120 กม.) ส่วนในการชาร์จปกติด้วยไฟกระแสสลับ ตัวรถรองรับการชาร์จที่ 11 kWh (ชาร์จเต็มใน 6 ชั่วโมง 30 นาที) หรือหากยังไม่จุใจ สามารถเลือกออพชั่นเป็นแบบที่สามารถชาร์จเร็วขึ้นเป็น 22 kWh (ชาร์จเต็มใน 3 ชั่วโมง 15 นาที) ได้เช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่น่าสนใจของ BMW iX1 xDrive30 ก็คือ
ตัวช่วยการขับขี่ที่คอยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยในขณะขับขี่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ใช้ชุดไฟหน้าแบบ Adaptive LED Metrix ที่สามารถปรับระดับและปรับทิศทางของแสงได้อย่างอิสระโดยการแบ่งช่องภายในโคมถึง 12 ส่วน, ระบบ Active Cruise Control with Stop & Go ที่มาพร้อมฟังค์ชั่นเตือนการชนและช่วยเบรกอัตโนมัติ ซึ่งสามารถตรวจจับการเลี้ยวของรถที่วิ่งสวนทาง รวมถึงคนเดินถนนและจักรยานได้อย่างละเอียดมากขึ้น, ระบบควบคุมการเปลี่ยนเลน รวมถึงฟังค์ชั่นควบคุมตัวรถให้อยู่ภายในเลน Steering and Lane Control Assistant, ระบบนำทาง Active Navigation, กล้องมองภาพขณะถอยหลังพร้อมระบบช่วยเข้าจอดซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับ BMW iX1 xDrive30 รวมถึง BMW X1 ทุกรุ่น
การออกแบบห้องโดยสารของ BMW iX1 xDrive30
มีการยกระดับความสูงของชุดเบาะเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นทัศนวิสัยได้อย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อรวมกับการสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารใหม่ จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสประสบการณ์ในการเดินทางที่ดีมากยิ่งขึ้น โดยองประกอบหลักของการออกแบบคือ การใช้หน้าจอ BMW Curved Display ซึ่งประกอบไปด้วยจอแสดงผลการขับขี่ขนาด 10.25 นิ้ว จับคู่จออินโฟเทนเม้นท์แบบสัมผัส BMW Live Cockpit Professional ที่ผสานการทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 และชุดลำโพง 12 ตำแหน่ง จาก Harman Kardon ชุดเบาะนั่งของ BMW iX1 xDrive30 มาในรูปแบบหุ้มหนัง Vernasca พร้อมฟังค์ชั่นการนวด ส่วนเบ่ะหลังสามารถพับได้แบบ 20 : 40 : 20 โดยมีพื้นที่สัมภาระสูงสุด 1,495 ลิตร (490 ลิตร เมื่อไม่ได้พับเบาะ) ในส่วนของคอนโซลกลาง จากเดิมที่เคยเป็นที่อยู่ของชุดคันเกียร์ แต่สำหรับ BMW iX1 xDrive30 จะมีการปรับมาใช้สวิตเกียร์แบบเลื่อน เช่นเดียวกับใน BMW Series 3 (LCI) ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า
BMW iX1 xDrive30 จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในยุโรปช่วงปลายปีนี้
ซึ่งคาดว่าในช่วงต้นปี 2023 ผู้ใช้รถในบ้านเราน่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับตัวจริงของรถอเนกประสงค์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบจากค่าย BMW ซึ่งก็รวมไปถึง BMW X1 ที่เปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกัน