Audi AG ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าอีกไม่ต่ำกว่า 20 รุ่น ภายในปี 2025 และนโยบายของรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในปีนี้ Audi Thailand (อาวดี้ ประเทศไทย) จึงมีแผนที่จะทยอยนำสุดยอดยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง รวมถึงยนตรกรรมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดของ Audi ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยีเจเนอเรชั่นล่าสุด ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา คือ ทรงพลังเป็นเยี่ยม ขับสนุกสุดๆ และประหยัดน้ำมัน โดยยนตรกรรมอาวดี้เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด 2 รุ่นแรก ที่เปิดตัวในประเทศไทยแล้ววันนี้ คือ Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition พรีเมียม SUV ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก
ความโดดเด่นของเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดของ Audi นับเป็น The Best Plug-in Hybrid Ever หรือเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นล่าสุด เกิดจากการผสานสองสุดยอดเทคโนโลยีพลังขับเคลื่อนอย่างลงตัว คือ เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า ที่ Audi ทุ่มทรัพยากรและงบประมาณในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งเป็นผู้นำตลาดรถหรูในด้านรถไฟฟ้า 100% จากความสำเร็จของ Audi e-tron ที่ส่งมอบไปแล้วกว่า 160,000 คัน ทั่วโลก และความเยี่ยมยอดของเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ปัจจุบันได้พัฒนามาถึงขั้นสูงสุด พิสูจน์ได้จากตระกูล RS โมเดลล้วนเป็นท๊อปเพอร์ฟอร์แมนซ์ ซึ่ง Audi ได้ส่งต่อความรู้ในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ไปยังรถรุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริด เจเนอเรชั่นล่าสุด ที่ไม่เพียงประหยัดน้ำมันแต่ยังมีสมรรถนะสูง ทรงพลัง สามารถส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ ที่มั่นใจ สนุก เร้าใจ ให้แฟนๆ Audi ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลงตัวที่สุด
เทคโนโลยีขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดเจเนอเรชั่นล่าสุดจาก Audi ให้สมรรถนะยอดเยี่ยม เร้าใจของทั้ง Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition นั้น มาพร้อม Dynamic Badge ตราสัญลักษณ์ “60 TFSI e” ด้านท้ายรถ ซึ่งเป็นตัวเลขบ่งบอกแรงม้าที่สูงที่สุดเท่าที่ Audi เคยใช้มา โดยในส่วนของเครื่องยนต์สันดาปเป็นเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ ขนาด 2,995 ซีซี. ผลิตแรงม้าได้ที่ 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังได้ถึง 136 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตัน-เมตร เมื่อผสานการทำงานกันจะให้พละกำลังจากระบบขับเคลื่อนสูงสุดถึง 462 แรงม้า 700 นิวตัน-เมตร ซึ่งนับเป็นรถยนต์ พรีเมียมเอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดที่มีพละกำลังสูงสุดในตลาดประเทศไทยในปัจจุบัน โดยสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 5.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Audi PHEV มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม–อิออนแรงดันสูงมีความจุ 17.9 กิโลวัตต์ สามารถรองรับการชาร์จได้สูงสุดถึง 7.4 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ภายใน 2.5 ชั่วโมง แบตเตอรี่ถูกบรรจุไว้ในบริเวณที่เก็บสัมภาระท้ายรถ ซึ่ง Audi ได้ออกแบบแบตเตอรี่ให้มีขนาดเล็ก ทำให้พื้นที่เก็บสัมภาระยังคงมีขนาดความจุสัมภาระสูงมากถึง 505 ลิตร ในรุ่น Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ 650 ลิตร ใน Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition ซึ่งนับเป็นความจุพื้นที่เก็บสัมภาระที่สูงมากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน ซึ่งทั้ง 2 รุ่น สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้มากกว่า 40 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งเหมาะสมกับการใช้รถในเมือง ซึ่งสอดรับจากการวิจัยของ Audi ที่พบว่าลูกค้าส่วนมากจะใช้งานรถไฟฟ้าในเมืองไม่เกินวันละ 30 กิโลเมตร ความพิเศษของ Audi ปลั๊กอินไฮบริดอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค คือ แบตเตอรี่เจเนอเรชั่นล่าสุดนี้ หากมีความเสียหายเกิดขึ้นช่างเทคนิคจะสามารถเปลี่ยนอะไหล่และแบตเตอรี่แยกย่อยเป็นแต่ละโมดุลได้ ทำให้ค่าบำรุงรักษาเมื่อแบตเตอรี่หมดระยะรับประกันจะต่ำลงเป็นอย่างมาก เพื่อความสบายใจในการใช้งาน (Customer Peace of Mind) ไปได้นานๆ หรือหากจะเปลี่ยนคันใหม่ Resell value ราคาก็จะไม่ลดมูลค่าลง แบตเตอรี่แรงดันสูงในรถปลั๊กอินไฮบริดของ Audi มีการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และAudi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเรียกว่า e-tron mode ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 โหมด ได้แก่
- EV (electric driving) ซึ่งเป็นโหมดที่รถจะขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้าเท่านั้น 100% เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง
- Auto Hybrid (intelligent use of battery charge) มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยอัตโนมัติ จากการทำงานของระบบ Predictive Efficiency Assist (PEA) ที่จะประเมินสถานการณ์ของถนนที่เดินทางไปควบคู่ไปกับระบบนำทางของรถ และจะแนะนำให้ลูกค้าถอนคันเร่ง โดยมีสัญลักษณ์สีเขียวรูปลูกศรให้ถอนเท้าพร้อมแรงกระตุกที่แป้นคันเร่ง 1 ครั้ง เมื่อรถเดินทางเข้าสู่ ทางแยก ทางลาด ทางร่วมต่างๆ และระบบนี้ยังทำงานควบคู่กับระบบ Predictive Operating Strategy (POS) ที่จะประเมินการขับขี่ว่าเป็นการใช้ในเมืองที่มีรถติด หรือในเมืองที่รถเคลื่อนตัวได้ดี หรือการวิ่งนอกเมือง เพื่อจะใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม
- Battery Hold เหมาะสำหรับการเดินทางจากนอกเมืองเพื่อเข้าในเมือง โดยรถยนต์จะใช้งานเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน เพื่อรักษาระดับประจุไฟฟ้าของแบตเตอรี่ให้สูงคงเท่าเดิม เพื่อจะเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่เอาไว้ใช้ในขณะเข้าเมืองให้วิ่งได้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้
- Battery Charge รถยนต์จะใช้งานเครื่องยนต์และระบบนำพลังงานกลับมาใช้ (Recuperation) เพื่อที่จะพยายามชาร์จแบตเตอรี่แรงดันสูงให้เพิ่มมากขึ้น
Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition
ได้รับการออกแบบให้ลุคสปอร์ต ภายนอกตกแต่งด้วยชุดแต่ง S line และอัพเกรดการตกแต่งเป็นแบบ Black Edition โดยเปลี่ยนคิ้วโครเมียมรอบคันเป็นสีดำและฝาครอบกระจกมองข้างสีดำดูดุดัน ล้ออัลลอยลายใหม่ ขนาด 21 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดงทั้งหน้า–หลัง ระบบไฟหน้า 2 แบบ ให้เลือกทั้งแบบไฟหน้า LED และไฟหน้า Matrix LED อัจฉริยะที่จะสามารถปรับแสงปิด LED บางดวงอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้แสงกวนตาผู้ขับรถที่สวนมา พร้อมไฟเอฟเฟกต์ Light staging เมื่อปลดล็อค
ในรุ่น Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition ภายในได้เพิ่มอุปกรณ์การตกแต่งเป็นแบบ S line Interior พวงมาลัยท้ายตัดพร้อมเบาะนั่งพร้อมตราสัญลักษณ์ S line ส่วนในรุ่น Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ได้รับการตกแต่งให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกด้วย เบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบ Super Sport ลาย Diamond Cut ในแบบฉบับ RS Full Bucket Seat องศาความลาดของเบาะที่ออกแบบให้สอดคล้องกับความลาดเอียงของกระจก ช่วยจัดระดับของสายตาให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ขับขี่ วัสดุหุ้มหนัง Valcona คุณภาพสูง นุ่มสบาย พวงมาลัย Multi-function แบบสปอร์ตท้ายตัด ระบบ MMI Navigation plus พร้อม MMI touch ขนาด 10.1 นิ้ว และจอควบคุม multi-function แบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว พร้อม Paddle shift จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ 17 ตำแหน่ง 730 วัตต์ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน และเพิ่มฟังก์ชั่นเปิดแอร์ได้ขณะดับเครื่อง (Stationary Air-conditioning)
ระบบช่วงล่างมาในแบบถุงลม (Adaptive air suspension) ในรุ่น Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ ช่วงล่างระบบถุงลมแบบ Sport ในรุ่น Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ภายในพื้นที่ห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระนั้นกว้างขวาง ถือได้ว่าเป็น SUV ที่ขนาดใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์ รองรับการเดินทางของครอบครัวใหญ่หรือเพื่อนร่วมทริปได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ยังมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิเช่น กล้องรอบคัน 360 องศา ประตูไฟฟ้าอัตโนมัติ หลังคาพาโนรามิค และแร็คบรรทุกสัมภาระบนหลังคา
Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition มีความสมบูรณ์แบบทั้งด้านสมรรถนะ ดีไซน์ การตกแต่ง ออฟชั่น ในราคาสุดคุ้มค่า คือ
· Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition (LED Headlight) ราคา 4,799,000 บาท
· Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition (Matrix LED Headlight) ราคา 4,899,000 บาท (จำนวนจำกัด)
· Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 5,799,000 บาท
สืบเนื่องจากมาตรการสนับสนุนการใช้รถ PHEV ของรัฐบาล ราคานี้นับเป็นราคาที่ต่ำลงกว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในถึง 600,000 – 1,000,000 บาท ถือว่าเป็น The Best Price Ever หรืออาจเรียกว่าเป็นรถยนต์คุณภาพนำเข้าทั้งคันในราคารถประกอบภายในประเทศ นอกจากนี้ Audi Thailand ยังกระตุ้นตลาด Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ทันทีด้วยโปรโมชั่น ดอกเบี้ยพิเศษ 1.59% นาน 60 เดือน และแถมฟรีเครื่องชาร์จ Wallbox ขนาด 7.4 กิโลวัตต์ อีก 1 เครื่อง นอกเหนือจากเครื่องชาร์จของ Audi ที่มาพร้อมกับรถยนต์อยู่แล้ว โดย Audi เป็นรถยนต์นำเข้าจากประเทศเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถใหม่จะได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถ Plug-in Hybrid TFSI e ใหม่ ทุกรุ่นรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี ลูกค้าอาวดี้สามารถมั่นใจกับงานบริการหลังการขาย ซึ่งมีมาตรฐานคุณภาพเดียวกันทุกสาขา
Audi RS 7 Sportback ตอกย้ำ DNA ของความเร้าใจด้วยขุมพลัง 600 แรงม้า ราคาชวนฟัง 10.7 ล้านบาท