ตอนที่ MERCEDES-BENZ เปิดตัว EQS พร้อมกับ “Hyperscreen” แผงดิสเพลย์ที่ยาวคลุม ยืดด้านข้างออกไปเกือบจรดเสา A ทั้งสองฟาก ออกแบบมากลมกลืนกับมาตรวัด ช่องแอร์ อินโฟเทนเมนท์ ระบบนำทาง GPS โดยพัฒนาการเป็น 3 มิติเข้าไปในจอ LED
และการที่ RANGE ROVER เพิ่มมุมมองใต้รถ บนจอดิสเพลย์ หรือจำแลงบนแผงกระจกหน้าซีทรูบน HUD. รู้สึกขับแล้วโล่งใจ ไร้ห่วงมากขึ้น เวลาขับลุยหลุมบ่อ หล่มหิน ไต่ร่อง คร่อมสันกลาง สามารถหลบเลี่ยง หลีกเลือก ว่าจะเบนหนีจากอุปสรรคบนผิวทางพวกนั้นอย่างไร ที่ตั้งชื่อว่า “Transparent Hood”
อีกทั้งค่าย Continental พันธะมิตรร่วมชาติได้คิดเทคโนโลยี “เสา A, B ที่โปร่งใส” ลดมุมบอดบนเสา A เสา B ทำให้มุมอับสายตาที่เสาพวกนี้มันหายไป โดยนำภาพที่เคยโดนบดบังมาแสดงที่จอ OLED ที่ฝังอยู่บนเสา เป็นเทคโนโลยี Virtual A/B pillar ทำให้พวกเราเฝ้าติดตามว่า AUDI ที่ไม่เคยยอใครเรื่องความล้ำเทคโนโลยีจะเลือกเดินไปแนวใด ในการแข่งขันเรื่อง Display
AUDI ของดีที่มีออกมา
เมื่อคู่แข่งต่างชาติและร่วมชาติก้าวไปในการพัฒนาระบบดิสเพลย์ มีหรือ AUDI ในเครือ VW Group จะนิ่งดูดาย ว่าแล้วจึงนำเทคโนโลยี AR มาผนวกกับยุคใหม่ของจอ HUD ใส่มาในตัว AUDI Q4 E–Tron compact crossover พลังไฟฟ้า โดยนำเทคโนโลยี AR มาแสดงผลบน(แผง)กระจก HUD ดังนั้น AUDI (และน่าจะเกือบทุกแบรนด์ใน VW Group) ก็คงจะมีเทคโนโลยีนี้มาใช้เช่นกัน นี่คือหนึ่งแนวที่ AUDI จะนำมาสร้างความเสมือนจริงในยุค EV ที่ AUDI จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาในปี 2025
การมีหลากแบรนด์อยู่ในอุ้งมือค่ายยักษ์อย่าง VW ทำให้ได้เปรียบในการแชร์ความรู้ เทคโนโลยี ต้นทุน นับตั้งแต่พื้นล่าง แพลทฟอร์ม เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และระบบอินโฟเทนเม้นท์ ยวงดิสเพลย์ต่างๆ สำหรับตัว Q4 E–Tron นั้นการนำเสนอจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนข้อมูลสถานะการทำงาน จะถูกแสดงที่ระยะเสมือนลึก 3 เมตรหน้าเรา บอกความเร็ว สัญญลักษณ์ สัญญาณจราจร ระบบช่วยขับ ระบบนำทาง และส่วนของ AR ซึ่งเจ๋งในการสร้างภาพเสมือน พวกการเตือนเมื่อรถออกจากเลน รถที่อยู่ข้างหน้าโดยทำงานร่วมกับควบคุมระยะห่างอัตโนมัติ ซึ่งถ้าจะให้วิพากษ์แล้ว ถ้าติดตามเรื่อง Display Technology มาต่อเนื่องก็ไม่ถือว่าฮือฮาแปลกล้ำมากนัก เพียงแต่นำมา “เรียบเรียงตัวโน็ต” ให้เข้าทำนองล้ำยุคขึ้น แอ็คทีฟขึ้น เช่นเมื่อนำ AR มาใช้กับข้อมูลนำทาง ก็จะมีสัญญลักษณ์ลูกศรปรากฎลอยราวโดรน มันจะชี้ไปข้างหน้าเมื่อเราขับไปบนทางแนวตรง แต่ครั้นจะถึงทางแยกมันก็จะเตือนเรา หรือกระทั่งช่วยในการเลี้ยวให้เรา (ซึ่งปัจจุบันรถบางรุ่นก็ติดตั้งระบบนี้มาแล้วเช่นกัน) สามารถประมวลสภาพเส้นทาง เป็นการต่อยอดจาก AI ระดับ 2 ขึ้นไปสู่ระดับ 3 ส่วนระบบพื้นฐานยังคงใช้บริการจากกล้อง อุลตร้าโซนิค เรด้าร์ ลิด้าร์ เซ็นเซอร์ที่สามารถนำกว่า 1,000 สัญญาณมาให้ระบบเรนเดอร์แต่งภาพที่ถี่ยิบขึ้น ระดับ 60 เฟรม/วินาที มานำเสนอบนจอกระจกจำนวนมากแก่เรา AUDI ตั้งชื่อว่า PGU(Picture Generation Unit” ซึ่ง AUDI กล่าวว่าได้นำสภาพแวดล้อมของการขับขี่ออกมาแสดงให้เหมือนจริงที่สุด ส่วนจอดิสเพลย์นั้นเป็นทัชสกรีนขนาด 11.6 นิ้วและ 10.25 นิ้วที่ฝั่งคนขับ สำหรับการควบคุม สั่งงานที่พวงมาลัยนั้น จะใช้การตอบรับแบบแสงให้เราทราบเมื่อเรากด เป็นเรื่องของ Haptic Feedback ที่เคยกล่าวไปแล้ว
วงการคาดว่าระบบทั้งหมดที่กล่าวมานี้ รวมทั้งแพลทฟอร์ม MEB ที่ VW Group สร้างไว้แชร์ คงจะถูกนำมาใช้ทั้งใน Q4 E–Tron ตัวนี้และ VW ID Series ที่กำลังจะมีรุ่นใหม่ตามออกมาในอนาคต ซึ่งคงจะไม่น้อยหน้า TESLA Model X แต่อย่างใด อยากรู้ว่าจะสู้กันได้แค่ไหน รอเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ …ที่เมืองนอก
………………
ติดตามข่าวสารขับซ่าได้ ที่นี่
ชมรายการขับซ่า34 ย้อนหลังได้ ที่นี่