10 เทคนิค ขับปลอดภัย กลางสายฝน
ฝนตก..ทำไมรถต้องติดด้วย !!! เป็นเหตุการณ์ที่คนเมืองต้องเผชิญ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนมีหลายคนถาม รถทุกคันก็มีหลังคา มีที่ปัดน้ำฝน ขับตามกันไปเรื่อยๆ เหมือนเดิม รถไม่น่าติดเพิ่มมากขึ้นได้ ถูกต้องครับถ้ารถทุกคันอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานรับสายฝนที่โปรยปราย แต่ความเป็นจริงนั้น.. มีทั้งรถที่ยางปัดน้ำฝนหมดสภาพ ล้อดอกยางหมด แม้กระท่ังเครื่องยนต์ดับเมื่อเจอความชื้น เรื่องความปลอดภัย บนถนนช่วงฝนตก เราแนะนำ 10 เทคนิค ขับปลอดภัย กลางสายฝน
1. รู้จักรถของตัวเอง
เพราะรถแต่ละรุ่น แต่ละคัน ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นการใช้งานที่แตกต่าง เช่น กระบะหรือรถอเนกประสงค์ อาจมีความสูงของใต้ท้องรถที่มากกว่า เพื่อการใช้งานในเส้นทางทุระกันดาน ขณะที่รถเก๋งที่เน้นบนเส้นทางเรียบ เหมาะเส้นทางในเมืองหรือใช้ความเร็ว รถแต่ละคันยังมีออฟชั่นต่างกัน เช่น มีระบบ ABS ช่วยป้องกันล้อล็อคหรือไม่ เป็นดิสค์เบรกทั้ง 4 ล้อ หรือคู่หลังเป็นดรัมเบรก มีระบบไล่ฝ้ากระจกด้วยไฟฟ้าหรือไม่ หากเรารู้จักอุปกรณ์ที่มีอยู่ในรถ เราจะขับขี่เพิ่มความระมัดระวังให้เหมาะกับรถของเราเองได้
2. ระบบที่ปัดน้ำฝน
เพื่อทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่ ควรตรวจเช็คระดับน้ำฉีดกระจก หากรูหัวฉีดน้ำตันให้ใช้เข็มขนาดเล็กแหย่สวนทางเข้าและสามารถตั้งระดับให้เหมาะได้ ยางใบปัดน้ำฝน เช็คสภาพได้จากการฉีกขาด แข็ง และการใช้งานว่าปาดน้ำและคราบสกปรกหมดหรือไม่ เสียงดังหรือทำให้เกิดรอยขูดขีดควรเปลี่ยนทันที อายุการใช้งานโดยเฉลี่ยทุก 1 ปีควรเปลี่ยนใหม่ ขณะใช้งานควรปรับระดับความเร็วของใบปัดน้ำฝน ให้สัมพันธ์กับความแรงและปริมาณฝนที่ตกลงมา
3. การใช้สัญญาณไฟ
เมื่อฝนตกหนัก แม้จะเป็นกลางวัน ให้เปิดไฟหน้าและไฟตัดหมอก (ถ้ามี) แต่ควรควรเปิดแค่ไฟหน้าแบบต่ำ เพราะถ้าเปิดไฟสูง สายฝนจะสะท้อนกลับมายังผู้ขับมากจนมองเส้นทางข้างหน้ายาก ไม่ควรเปิดแค่ไฟหรี่ เพราะการเปิดไฟหน้าแบบต่ำ แทบไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลย ไดชาร์จ(อัลเตอร์เนเตอร์) แทบไม่ได้ทำงานหนักขึ้นหลอดไฟหน้าจะอายุสั้นลงก็ไม่ใช่ปัญหา หลอดละร้อยสองร้อยบาทเท่านั้น เมื่อจะเปลี่ยนเลน ให้เปิดไฟเลี้ยวเตือนผู้อื่นล่วงหน้ากว่าปกตินิดหน่อย และที่สำคัญ !!! หลีกเลี่ยงการเปิดไฟฉุกเฉินเมื่อฝนตกหนัก เนื่องจากเป็นการรบกวนสายตาผู้ขับขี่คันอื่น ยังทำให้ผู้ขับมาแยกไม่ออกรถหว่างรถที่เปิดเพราะจอดเสีย หรือกำลังวิ่งอยู่
4. ฝนเริ่มตก 3-5 นาทีแรก..ควรระวังเป็นพิเศษ !!!
บางคนว่าเป็นความเชื่อ แต่นี่คือความจริงครับ !! ช่วง 3- 5 นาทีแรกที่ฝนตกใหม่ๆ ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถนนจะลื่นมากกว่าปกติ จากคราบน้ำมันหรือสิ่งตกค้างที่เคลือบอยู่บนผิวถนน ควรใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับสภาพถนนและการมองเห็น ทิ้งระยะห่างขณะขับตามรถคันหน้าให้ เพิ่มกว่าปกติอย่างเหมาะสมกับความเร็วที่ใช้
5. สภาพยางล้อรถ สำคัญสุด..สุด..
ความลึกของร่องยางหรือความสูงของดอกยาง มีผลต่อประสิทธิภาพของการรีดน้ำของยาง สังเกตุได้จากดอกยางควรสูงกว่าตำแหน่งมาร์ค ที่มีอยู่ในร่องยางหรือหรือควรเหลือประมาณไม่ต่ำกว่า 1.5- 2 มิลลิเมตร อีกจุดที่ถูกมองข้ามคือเช็คลมยาง ควรตรวจเช็คลมยางเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง ระวังอย่าให้ลมยางอ่่อนหรือแข็งเกินไป จะทำให้ทรงตัวลำบากในหน้าฝน
6. ใช้ 2 มือ จับพวงมาลัยให้มั่น
ถ้าคิดว่าขับรถลุยฝนใช้ความเร็วต่ำกว่าปกติ อย่าชะล่าใจว่า เมื่อรถทุกคันขับได้ไม่เร็วเหมือนๆกัน จับพวงมาลับแบบสบายๆ ก็ได้ !! ตรงกันข้าม..ครับ ควรจับพวงมาลัย 2 มือในตำแหน่งที่แนะนำ จับมือซ้ายอยู่ที่ 9 นาฬิกา และมือขวา 3 นาฬิกา พร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน ที่รถร่วมทางอาจเสียหลัก หรือรถของเราเองอาจเกิดอาการเหินน้ำของยางได้ตลอดเวลา ในเส้นทางที่อาจมีน้ำท่วมขังบนผิวถนน
7. อย่าไว้ใจสภาพถนน
ถนนเมืองไทย ขนาดบนทางด่วนยกระดับ กลับมีทั้งแอ่งน้ำและการระบายน้ำที่ไม่ดีทำให้เกิดน้ำท่วมขัง คละกันอยู่บ่อยๆ หากขับในช่องทางวิ่งแล้วจำเป็นต้องลุยฝ่าในแอ่งน้ำ ควรชะลอความเร็วลงและใช้เกียร์ต่ำ วิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอจนกว่าจะพ้นน้ำ ไม่ควรเบรกขณะรถอยู่ในน้ำ เพราะอาจทำให้รถปัดได้ รวมถังการหักเลี้ยวหลบแอ่งน้ำแบบกระทันหัน
8. พ้นน้ำท่วมขัง อย่าลืมย้ำเบรก
ที่สำคัญ.. ทุกครั้งเมื่อขับพ้นช่วงน้ำท่วมขังแล้ว ให้ย้ำเบรกเบาแบบเลียเบรกหลายๆครั้งอย่างต่อเนื่อง ให้เกิดความร้อนเพื่อให้ผ้าเบรกแห้งเร็วขึ้น และพร้อมสำหรับการเบรกในครั้งต่อไป และทำอีกครั้งก่อนเข้าจอด เพื่อลดอาการเบรกติดจากสนิม
9.ตกหนักมาก ควรหาที่จอดที่ปลอดภัย
หากฝนตกหนักมาก.. จนไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจนในระยะ 8-10 เมตร หรือ 2 ช่วงคันรถข้างหน้า หากอยู่ในเส้นทางที่มีจุดจอดที่ปลอดภัย ควรจอดรอ จนฝนเบาลงแล้วค่อยเดินทางต่อ ไม่ควรฝืนขับในขณะที่ทัศนวิสัยแย่มากๆ เพราะเมื่อเราเห็นไม่ชัด รถที่ตามมาก็เห็นเราไม่ชัดเช่นกัน โอกาสเกิดอุบัติเหตุจะสูงมาก
10. หลบไม่พ้น ต้องลุยแล้ว
เมื่อฝนตกอย่างหนัก สิ่งที่จะตามมาคือน้ำท่วมขังบนถนน ให้สังเกตุระดับความลึกของน้ำจากรถคันหน้าหรือขอบฟุตบาทข้างทางเพื่อประเมินสถานการณ์ ฟุตบาททางเดินส่วนใหญ่ออกแบบให้ต่ำกว่าขอบประตูทางด้านล่าง ถ้าเห็นทางข้างหน้าน้ำท่วมเกิมฟุตบาท ก็เป็นไปได้ที่หากขับต่อไป น้ำอาจจะเข้าภายในรถได้ ถ้ากลับรถ หรือเลี่ยงใช้เส้นทางอื่นได้ก็ควรทำ ถ้าจำเป็น ในระดับที่ยังไหว..เมื่อลุยน้ำระดับสูงควรปิดแอร์เพื่อไม่ให้พัดลมไฟฟ้าทำงาน เพราะจะเป็นการตีน้ำให้กระจายเต็มห้องเครื่อง ใช้เกียร์ต่ำ( เกียร์ L หรือ เกียร์ 1) เพื่อไม่ให้รอบเครื่องยนต์ต่ำเกินไปน้ำอาจจะย้อนเข้าท่อไอเสียได้ พึงระลึกเสมอว่า ถ้าระดับน้ำสูงกว่าขอบประตูรถหรือสูงกว่า 1 ใน 3 ของล้อเมื่อวัดจากพื้นถนน ไม่ควรขับฝ่าไปอย่างเด็ดขาด
เพิ่มอีก 1 ข้อนะจ๊ะ
11. เบรก ABS (Anti lock Brake System) ไม่มีทำอย่างไร ?
การขับรถบนถนนลื่น อย่าเหยียบเบรกแรงครั้งเดียว เพราะจะทำให้รถเสียหลัก ควรค่อยๆ ย้ำเบรกอย่างนิ่มนวล เพิ่มระยะทางและใช้เวลาในการเบรกนานขึ้น และยิ่งถ้ารถไม่มีระบบเบรก เอบีเอส การเบรกแรงๆ บนถนนลื่น ล้อมีโอกาสล็อกได้ง่าย ล้อที่ล็อกจะขาดการบังคับควบคุมทิศทางจากพวงมาลัยหรือทำให้รถปัดเป๋จนถึง ขั้นหมุนคว้างได้ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ากระแทกแป้นเบรกแรงๆ หากจำเป็นและรู้สึกว่าล้อล็อกแล้ว ควรละเบรกเล็กน้อยเพื่อให้ล้อคลายการล็อก ส่วนการขับรถที่มีเอบีเอสก็อย่าชะล่าใจ เพราะถึงเอบีเอสจะป้องกันล้อล็อก แต่นั่นก็แสดงว่าเป็นการเบรกที่รุนแรงเกินไปนั่นเอง
แนะนำ 3เรื่องต้องรู้ ขับรถหน้าฝน
ฝากติดตามและกด Subscribe ทีมขับซ่า ช่อง ขับซ่า Channel ด้วยนะครับ
………………………………………………………
ติดตามข่าวสารขับซ่าได้ ที่นี่
ชมรายการขับซ่า34 ย้อนหลังได้ ที่นี่