เป็นที่พูดถึงกันไม่น้อย สำหรับมาตรการในการลดภาษีนำเข้ารถ EV ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการพิจารณา โดยถ้าเงื่อนไขทุกอย่างผ่านกระบวนความเป็นที่เรียบร้อย จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป สำหรับราคาส่วนลดในการซื้อรถ EV ครั้งนี้ เป็นการปรับลดราคาจากทางผู้จำหน่ายโดยตรง เพื่อลดขั้นตอนที่ซับซ้อน เพื่อการผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้รถ EV โดยตั้งเป้าไว้ที่ 300,000 คัน ในระยะเวลา 5 ปี
สำหรับการมอบส่วนลดสำหรับซื้อรถ EV ปี 2565 จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ สำหรับรถ EV ที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท และรูปแบบที่ 2 คือ สำหรับรถ EV ที่มีราคาสูงกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งจะได้เงื่อนไขและการสนับสนุนที่แตกต่างกันดังนี้
รถ EV ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท | รายละเอียด |
ส่วนลด | – ลดอัตราภาษีศุลกากร สูงสุด 40% (รถ EV นำเข้าจากจีน ภาษี 0%, จากญี่ปุ่น 20% และเกาหลี 40% ลดเหลือ 0% ทั้งหมด และนำเข้าจากยุโรป 80% ลดเหลือ 40%) – ลดภาษีสรรพสามิตร จาก 8% เหลือ 2% – รัฐบาลสนับสนุนสูงสุด 1.5 แสนบาท/คัน (พิจารณาตามขนาดแบตเตอรี่ เช่น ต่ำกว่า 30 kWh ได้ส่วนส่วนลด 70,000 บาท หรือเกินกว่า 30 kWh ได้ส่วนลด 150,000 บาท) |
รถ EV ราคา 2 ล้านบาท ขึ้นไป | รายละเอียด |
ส่วนลด | – ลดอัตราภาษีศุลกากร สูงสุด 40% (รถ EV นำเข้าจากจีน ภาษี 0%, จากญี่ปุ่น 20% และเกาหลี 40% ลดเหลือ 0% ทั้งหมด และนำเข้าจากยุโรป 80% ลดเหลือ 40%) – ลดภาษีสรรพสามิตร จาก 8% เหลือ 2% |
การคำนวณราคารถยนต์ EV นำเข้า ก่อนถึงมือผู้ใช้
ราคารถ EV | รายละเอียดการคำนวนราคา |
เงื่อนไขการคำนวนราคารถ EV ในกรณีที่ได้รับการสนับสนุน | 1.ราคา CIF (Cost + Insurance + Freight) แปลตรงตัว คือ ค่าใช้จ่ายที่มาจาก 3 ส่วน ประกอบกัน นั่นก็คือ ราคาของตัวรถ + ประกันภัย และค่าขนส่ง
2.ภาษีอากรขาเข้า 0% สำหรับรถที่นำเข้าจากจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี และ 40% สำหรับรถที่นำเข้าจากยุโรป
3.ภาษีสรรพสามิต 2% โดยมีสูตรในการคำนวณ คือ ภาษีสรรพสามิต = ((CIF + ภาษีอากรขาเข้า) x อัตราภาษี) / (1 – (1.1 x อัตราภาษี)
4.ภาษีกระทรวงมหาดไทย คิดจาก 10% ของภาษีสรรพสามิต
5.ภาษีมูลค่าเพิ่ม คิดจาก 7% ของ (ราคา CIF + ภาษีอากรขาเข้า + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีกระทรวงมหาดไทย)
6.กำไรของผู้ขาย ไม่ใช่เงื่อนไขที่ถูกบังคับ แต่คงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในการทำธุรกิจ
7.ส่วนลดจากรัฐบาลสูงสุด 150,000 บาท |
หากนำเงื่อนไขจากตาราง มาลองคำนวนราคารถยนต์ไฟฟ้า นำเข้าจากประเทศยุโรป ด้วยต้นทุนราคา ค่าขนส่ง และประกันภัย ที่ราคา 1,400,000 บาท จากก่อนหน้านี้ ที่รวมภาษีเบ็ดเสร็จ กว่าจะถึงมือผู้ใช้ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้นกว่า 2.95 ล้านบาท ในครั้งนี้…การเลือกใช้รถไฟฟ้านำเข้าจากต่างประเทศ จะมีราคาคำนวนที่ต่ำลงดังนี้
1. ราคา CIF = 1,250,000 + 100,000 + 50,000 รวม 1,400,000 บาท (ค่าขนส่ง + ประกันภัย เป็นค่าใช้จ่ายโดยประมาณ)
2. ภาษีอากรขาเข้า = 40% ของ 1,4000,000 บาท คำนวนแล้วคือ 560,000 บาท
3. ภาษีสรรพสามิต นำมาเข้าสูตร ((CIF + ภาษีอากรขาเข้า) x อัตราภาษี) / (1 – (1.1 x อัตราภาษี) คือ ((1,400,000 + 560,000) x 2%) / (1 – (1.1 x 2%) เท่ากับ 39,716 บาท
4. ภาษีมหาดไทย หรือ 10% ของ 39,716 บาท คิดเป็น 3,971 บาท
5. ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ 7% ของ (1,400,000 + 560,000 + 39,716 + 3,971) คิดเป็น 104,978 บาท
6. ส่วนลดเพิ่มเติมจากรัฐบาล 150,000 บาท
***หลังจากนำค่าใช้จ่ายทั้ง 5 ขั้นตอน มารวมกัน นั่นหมายความว่า 5 ส่วนนี้ คือ ราคาจริงหลังจากผ่านกระบวนการทางภาษีแบบทั้งหมดทั้งมวล 1,400,000 + 560,000 + 39,716 + 3,971 + 104,978 – 150,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายสุทธิทั้งสิ้น 1,958,485 บาท หากนำไปเปรียบเทียบกับการคำนวนแบบดั้งเดิม เท่ากับว่า มีส่วนต่างราคามากถึง 2,956,577 – 1,958,485 = 998,092 บาท !!! (เป็นตัวเลขโดยประมาณที่ใช้เพื่อคำนวนให้เห็นภาพเท่านั้น)