Home » ประเทศบิ๊กเนม เขามองรถ EV กันแบบไหน?? ไปได้ หรือเข็นไม่ไหว…เครื่องยนต์จะสูญพันธุ์จริงหรือ?

ประเทศบิ๊กเนม เขามองรถ EV กันแบบไหน?? ไปได้ หรือเข็นไม่ไหว…เครื่องยนต์จะสูญพันธุ์จริงหรือ?

by Admin clubza.tv

หลังจากที่คราวก่อน เราพูดถึงภาพรวมในวงการรถยนต EV ทั่วโลก ว่ามีทิศทางในการเติบโตแบบไหน มาในครั้งนี้ “ทีมขับซ่า” จะมาเจาะลึกให้มากขึ้น โดยซอยย่อยถึงประเทศชั้นนำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผุ้ผลิตรถยนต์ ที่ล้วยแล้วแต่มีอิทธิพลในการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนที่นำมาใช้ด้วยกันทั้งสิ้น

 

เยอรมัน

เจาะที่เยอรมันซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับหนึ่งของยุโรป มียอดขายรถส่วนบุคคล Full EV, PHEV, Hybrid  และ Fuel cell, แก็สธรรมชาติ, พลังไฮโดรเจน รวมแล้วประมาณ 22% ของตลาด ในนี้เป็นตัวเลขขายของ BEV (แบตเตอรี่ + มอเตอร์ไฟ้ฟ้าล้วน) รวม 194,163 คัน โตขึ้น 3 เท่า จากปี 2020 (ตัวเลขรายงานถึงเดือนมกราคม 2021) โดย VOLKSWAGEN คือ แกนนำ ทำไป 23.8% ตามด้วย RENAULT 16.2% และ TESLA 8.6%  ดูในรายละเอียดสิ้นปี 2020 เทียบกับปี 2019 ที่ VW ได้แชร์ตลาด BEV 17.4% (โตขึ้น 609%) ตามด้วย MERCEDES-BENZ 14.9% (โตขึ้น 500%) AUDI 9% (โตขึ้น 608%) จากข้อมูลนี้พบว่ายอดขายรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบพวก Full EV โตจาก 0.5% ในปี 2019 เป็น 1.2% ในปี 2020

หมายเหตุ ** เมื่อนำมาเทียบกับยอดขายรถรวมทุกชนิดเครื่องยนต์ คือ เอา ICE เข้าร่วมเทียบตัวเลขยังได้ไม่มากนัก คือ โตจาก 2.4% ตอนปี 2019 เป็น 3.6% ในปี 2020 หรือถ้าดูเฉพาะ Full EV, PHEV, Hybrid, Fuel cell ยอดแชร์ตลาดปี 2020 นั้น…โตขึ้น 13.5% เทียบกับปี 2019**

จีน

  • ยอดขายรถนั่ง (Passenger car) ในจีนเริ่มกลับสู่ปกติ หลังจากมีการผ่อนคลายการควบคุม และปัญหา COVID 19 ที่ลดลง
  • ยอดขายรถนั่งในจีน สามารถกลับสู่สถานะปกติอย่างรวดเร็ว และแสดงให้เห็นถึงการเติบโตนับแต่เดือนเมษายน-ธันวาคม 2020 (เมื่อเทียบกับตัวเลขปี 2019 ช่วงเวลาเดียวกัน หลังจากที่ตกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 21 เดือน)
  • 30% ของยอดขายรถทั่วโลกปี 2020 คือ ตลาดจีน (เพิ่มขึ้นจาก 27% ในปี 2019)
  • ปริมาณการขายสินค้าในจีนช่วงครึ่งปีแรก 2021 จะยังคงเติบโต แต่ครึ่งปีหลังถือเป็นเรื่องยากที่จะทำได้เมื่อเทียบกับปี 2020
  • ยอดขายรถในจีนปี 2021 จะโตประมาณ 6%

จีนยังคงเป็นตลาดที่มีอัตราเติบโตของการขาย BEV สูงสุด เป็นผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้จะโดน COVID 19 ก็หยุดไม่อยู่ การผลักดันจากภาครัฐเรื่อง EV ที่มุ่งมาตั้งแต่ปี 2018 มีมาตรการเพิ่มมาตรฐานประสิทธิภาพรถ ได้แต้มเครดิตเพิ่มจากภาครัฐแก่ผู้ผลิตที่ทำ EV ออกมามีความก้าวหน้าด้านสมรรถนะ พัฒนาแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมทั้งการที่กระทรวงการคลังของจีนจูงใจ โดยลดภาษีให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า 20% เทียบกับปี 2019 ** เทียบเฉลี่ยแล้วเป็นเงินประมาณ 18,000 บาท หรือ 550 ดอลล่าร์สหรัฐเลยทีเดียว **

หมายเหตุ **รัฐบาลจีนให้แต้มเครดิตสำหรับ Full EV สูงกว่า PHEV **

การเจอ COVID 19 มีผลต่อยอดขายให้ลดลงบ้าง กล่าวคือโตขึ้นแค่ 3% เทียบกับปี 2019 อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เชื่อว่ายอดขายจะกลับมาโตเป็นตัวเลข 2 หลัก นับแต่ปี 2021 เป็นต้นไป และเมื่อถึง 2025 จำนวนผลิตของ BEV ที่จีนจะแตะ 4.8 ล้านคัน เทียบเป็น 17% ของการผลิตรถยนต์รวม ในจำนวนนี้จะเป็นยอดผลิต PHEV ถึง 1.6 ล้านคัน (6% ของตลาด) จีนยังคงเป็นตลาด EV ใหญ่สุดของโลก มีการจดทะเบียนใช้งานถึง 2.3 ล้านคัน คิดเป็น 45% ของจำนวน EV ทั่วโลก (ขณะที่ยุโรป และอเมริกามีใช้งานอยู่ 1.2 และ 1.1 ล้านคัน ตามลำดับ)

Chinese President Xi Jinping waits to welcome French Prime Minister Manuel Valls at the Great Hall of the People in Beijing January 30, 2015. REUTERS/Fred Dufour/Pool (CHINA – Tags: POLITICS) – RTR4NMGO

ญี่ปุ่น

รัฐบาลญี่ปุ่นได้เพิ่มการสนับสนุน เพื่อให้มีการลงทุนผลิตและเพิ่มจำนวนขายออกมาต้นปีนี้ โดยกำหนดไว้เลยว่า รถใหม่ที่จะนำมาขายปี 2030 จะต้องเป็น EV เท่านั้น และเมื่อถึงปี 2050 จะต้องไม่มีการปล่อยคาร์บอนออกมาบนท้องถนน เพื่อให้ทุกแผนงานออกมาเป็นรูปธรรม จึงได้อัดเงินเข้าไปประมาณ 1.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ให้งานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ยุคหน้า ที่นอกจากจะต้องล้ำทางเทคโนโลยีแล้ว ยังต้องมีต้นทุนต่ำลงประมาณ 96 เหรียญฯ ต่อ kWh ต้องทำให้ได้ภายในปี 2030 !!  โครงงานสีเขียวที่ญี่ปุ่นนี้ ทำพร้อมๆ กันใน 14 อุตสาหกรรมหลัก ไม่ใช่เฉพาะรถยนต์ คือ คลุมไปยังอุตสาหกรรมขนส่ง การผลิต การบริการทางอีเล็คโทรนิคส์ รวมทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ตั้งเป้าไว้ว่าต้องโต 30-50% จากปี 2020 ถึงปี 2050 ด้วย

Joe Biden. (Image by Gage Skidmore, Flickr)

สหรัฐอเมริกา

จากที่ประธานาธิบดี Joe Biden เคยหาเสียงไว้ เรื่องการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง รวมทั้งเน้น EV เพื่อลดการปล่อยมลพิษ ผลิต EV ที่ไม่เป็นรองใคร การต่อเนื่องนี้ไปชะงักลง 4 ปี ช่วงที่ Donald Trump เข้ามาบริหารประเทศ ทั้งนี้เมื่อย้อนไปที่เทิร์มของ Barack Obama ที่เคยชูนโยบายนี้ตั้งแต่ปี 2012 ที่ต้องการลดการปล่อย CO2 จากรถและรถบรรทุกเบาลง 5% ต่อปี นับต่อจากนี้อีกเกือบ 4 ปี ที่เดโมแครตภายใต้ Joe Biden จะต้องนำมาสานต่อ เช่นการผลิตยานยนต์ที่ใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความปลอดภัย ในราคาจับต้องได้

หมายเหตุ ** ยุค Trump ได้มีการปรับมาตรการของ Obama เมื่อเมษายน 2020 โดยลดเป้าจากการลด CO2 5% ต่อปี เหลือแค่ 1.5% ต่อปี กำหนดไว้ช่วงปี 2021-2026 **

การ “ปล่อยของ” ก่อนจากของ Trump นี้ อาจเป็นเพราะไม่ต้องการให้เร่งรัดมากเกินไป จนทำให้ผู้ผลิตรถสหรัฐไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ซึ่งเท่ากับไปเปิดโอกาสให้รถจากประเทศอื่น เข้ามาเสียบขายแทน นับจากนี้ คือ ภาระของ Joe Biden ต้องมาแกะเงื่อนที่ถูกผูกไว้นี้ ทางออกขณะนี้ คือ ให้แต่ละรัฐทำการพิจารณาตัดสินใจเอาเอง ว่ายินดีหรือพร้อมจะเดินหน้าไปในทิศทางใด ตั้งเป้าลด CO2 มากน้อยเท่าใด ขณะนี้เริ่มต้นที่แคลิฟอร์เนียก่อน (เพราะมีการกำหนดไว้ลงตัวแล้ว ว่าจะต้องไม่มีรถสันดาปภายในขายเมื่อถึงปี 2035) แม้จะติดปัญหาการจัดสรรงบประมาณ 4.5 พันล้านเหรียญฯ เพื่อเจียดไปเพื่อกู้สถานะการณ์ COVID 19 เป็นจำนวน 3 พันล้านเหรียญฯ เหลือเพียง 1.5 พันล้านเหรียญฯ เป็นอินเซนทีฟจูงใจ ลดภาษีแก่ผู้ซื้อ องค์กร ที่ซื้อ EV, รถพลังไฮโดรเจน งบด้านก่อสร้าง ค่าอุปกรณ์ ค่าบำรุงรัษา โครงสร้างพื้นฐานของการนำ EV และรถพลังไฮโดรเจนมาใช้ด้วย (300 ล้านเหรียญฯ ในนั้น คือ งบในการสร้างสถานีชาร์จไฟ ไว้ตามหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเพื่อให้ EV เข้าไปจอดชาร์จ…นี่เฉพาะแคลิฟอร์เนียรัฐเดียว) “การปฏิวัติสู่การใช้พลังงานสะอาด – Clean Energy Revolution” ของสหรัฐฯ ที่หวังจะเพิ่ม EV ของตนให้สู้คู่แข่งต่างชาติได้ ในตลาดระดับสูงนั้น TESLA Model 3 ถือว่าไปได้ ไม่มีอุปสรรค ส่วนตลาดล่างคงจะหวังตัว CHEVROLET Bolt ไม่ได้มากนัก เพราะออกมาหลายปีแล้ว และตัวรถเอง ก็ไม่ได้เหนือกว่า NISSAN Leaf ตรงไหน ส่วนตลาด SUV ยังมี MITSUBISHI Outlander PHEV ตัว 2021 เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

ข้อมูลการขายปีที่แล้ว EV ทำยอดถึง 345,000 คัน โตจากปี 2019 ที่ทำได้ 245,000 คัน จากการสำรวจข้อมูล ผู้ใช้หรือคิดจะใช้ EV ของสหรัฐนิยมการชาร์จที่บ้าน ต่างยังกังวลเรื่องระยะทางวิ่งต่อชาร์จ การไปแบตหมดระหว่างเดินทาง ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ผู้ใช้ EV ทั่วโลกต่างกังวล ผลการสำรวจบอกว่าอเมริกันอยากให้มีที่ชาร์จช่วงพักเดินทางกลางคืน โรงหนัง ปัมป์น้ำมัน ซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่จอดรถสาธารณะ ที่ทำงาน ตามลำดับ โดยตลาดภาคขนส่งทั้งคนและสินค้าที่ต้องการ Light duty truck EV ขณะนี้ Phoenix ZEUS 400 Shuttle Bus และ ZEUS Flatbed ครองตลาดอยู่ ไล่มาเป็น Heavy duty EV เน้นขายเข้ากิจการขนส่งของประเทศ เช่น Amazon, DHL, IKEA, North America AT&T Lime (ปัจจุบันต่างก็สร้างสถานีชาร์จของตัวเอง รวมทั้งสิ้น 14,000 แห่งทั่วสหรัฐฯ) ให้สำเร็จ การจะขายแบบฝูงฟลีทก็จะต้องวิ่งได้ระยะทางประมาณ 150-250 ไมล์ต่อชาร์จ ขึ้นไป เสียเวลาจอดชาร์จน้อยสุด เพราะต้องวิ่งรูดอินเตอร์สเตทข้ามรัฐ ข้ามประเทศ  ตลาดยังเป็นของ VOLVO, Freightliner,  Starcraft Allstar (และมีค่ายจีน BYD พยายามเจาะ) ส่วนถ้าไปดูข้อมูลฝูง EV โดยสาร รายใหญ่สุดของเขา คือ GreenPower วิ่งบริการผู้คนและนักเรียน ไล่ขนาดจาก EV Star Mini, EV250, EV350 & EV550 และก็มีรายใหญ่รองลงมาคือ M Paratrans Bus 8 ล้อ, Mini School Bus 6 ล้อ

ข้อมูลการจดทะเบียน EV ในสหรัฐนั้น ตอนปี 2019 มีทั้งสิ้น 1.12 ล้านคัน ปี 2020 ขายได้อีก 345,000 คัน และคาดว่าปี 2021 จะโตขึ้นอีก 75% เจาะลงแบรนด์ขายดีสุดปี 2020 คือ TESLA ทำยอดขาย Model 3 ได้ 38,000 คัน, Model Y ได้ 18,000 คัน Model X ขายได้ 9,000 คัน  ยอดขาย EV มือสองในปี 2020 คือ NISSAN Leaf ขายได้ 28%, TESLA Model S ขายได้ 18%, FIAT 500 e ขายได้ 9%

U.S. President-elect Joe Biden, accompanied by his wife Jill, attends a Veterans Day observance in Philadelphia, Pennsylvania, U.S., November 11, 2020. REUTERS/Jonathan Ernst – RC241K9UOGMV

โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จของสหรัฐฯ 

มีการเร่งสร้างสถานีชาร์จ เพิ่มจำนวนจาก 25,000 แห่ง (เป็นบริการสาธารณะ 21,000 แห่ง) ในปี 2019 เพิ่มเป็น 31,000 แห่ง (เป็นบริการสาธารณะ 28,000 แห่ง) ในปี 2020 ซึ่งขยายตัวเร็วกว่าของภาคเอกชนที่มีจำนวนสถานีชาร์จคงที่อยู่ประมาณ 3,000 แห่งทั่วประเทศ โดยมีการแบ่งค่าย และหัวชาร์จตามมาตรฐานครอบคลุมย่านอเมริกาเหนือ (Universal North America EV plug) ถึง 6 แบบ ซึ่งตามแผนงานจะต้องขยายตัวในปี 2021 ประมาณการว่าของ J1772 จะมีประมาณ 28,000 แห่ง  ถ้าเป็น J1772 Combo (พัฒนาจาก J1772) ตั้งเป้าไว้ 2,970 แห่ง, CHAdeMo ประมาณ 2,700 แห่ง,  TESLA 5,500 แห่ง และ NEMA 5-20 (เป็นชาร์จด่วน) ประมาณ 645 แห่ง

**TESLA ทำไว้ชาร์จเฉพาะ EV ของตนเท่านั้น ส่วน NEMA…ไม่เป็นที่นิยมนักเพราะเป็นการชาร์จช้า เสียเวลามากที่สุด**

EV

สถานที่ตั้งสถานีชาร์จของสหรัฐฯ

  • ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านค้า ใช้เป็นจุดดึงลูกค้า เพิ่มรายได้ สร้างภาพลักษณ์
  • ปั้มน้ำมัน ที่เพิ่มบริเวณสถานีชาร์จ
  • ห้างสรรพสินค้า นอกจากเป็นการเพิ่มจุดขาย ขยายภาพลักษณ์แล้ว ยังเพิ่มรายได้ทางตรงและทางอ้อม (จากการที่ลูกค้าต้องใช้เวลาอยู่ในห้างนานขึ้นกว่าเดิม)
  • โรงแรม ที่พัก สปา เป็นการรวมสรรพสิ่งแห่งบริการ ดึงดูดผู้ใช้ EV
  • โชว์รูม ศูนย์บริการรถ
  • ย่านใจกลางเมือง สวน/สถานที่สาธารณะ บริการสำหรับฝูงฟลีท พนักงาน ผู้คนทั่วไป
  • สถานที่ทำงาน สำหรับพนักงานและผู้มาติดต่องาน
  • เรียลเอสเตท ที่พักอาสัยมีระดับ

นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ

แน่นอนว่าการกระตุ้น สนับสนุนจากภาครัฐ คือ ปัจจัยสำคัญมากในการเพิ่มการใช้ EV ที่สหรัฐฯ แต่ละรัฐสามารถออกกฏหมาย มาตรการต่างๆของรัฐ โดยไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง เรื่อง EV นั้น จึงมีการสนับสนุนแตกต่างกัน เช่นที่ Vermont รัฐคืนภาษีให้สูงสุด 5,000 เหรียญฯ แก่ผู้ซื้อ (มีผู้ใช้ EV ที่รัฐนี้ 103.5 คน ต่อประชากร 100,000 คน) ที่ Washington, D.C. ไม่คิดภาษีสรรพสามิต ลดค่าจดทะเบียน ลดภาษีการติดตั้งระบบชาร์จในบ้านสูงสุด 1,000 เหรียญฯ (มีผู้ใช้ EV ที่นี่ 63 คน ต่อประชากร 100,000 คน) ที่ Hawaii ลดอัตราค่าชาร์จ จัดเลนพิเศษให้วิ่งร่วมกับคาร์พูลได้ (มีผู้ใช้ EV จำนวน 47.7 คน ต่อประชากร 100,000 คน) ที่ Colorado ให้เครดิตในการจ่ายภาษีสำหรับการซื้อหรือเช่า EV มีคนใช้ 40.9 คน ต่อประชากร 100,000 คน) ที่ California มีการคืนเงินและเงินกู้พิเศษในการซื้อ EV (มีการใช้ EV 64 คน ต่อประชากร 100,000 คน) ที่ว่าไปข้างบนนั้นเป็นมาตรการของแต่ละรัฐ ซึ่งที่สหรัฐนั้น…ยังมีการสนับสนุนจากส่วนรัฐบาลกลางเข้าร่วมอีกด้วย เช่น ให้เงินลดหย่อนทางภาษี 2,500-7,500 เหรียญฯ แก่ผู้ซื้อ EV ทั้งใหม่หรือใช้แล้วที่ผ่านการรับรอง แต่ตอนหลังมีการรื้อกฎมาไม่ให้เงินลดหย่อนนี้ ถ้าผู้ผลิต EV นั้นมียอดเกิน 200,000 คัน (รวมทั้งการซื้อ EV มือสอง) นั่นหมายความว่าผู้ที่ซื้อ TESLA หรือ GM EV จะไม่ได้รับสิทธินี้ ส่วนการติดตั้งระบบชาร์จไฟบริเวณที่พักอาศัยและย่านการค้านั้น รัฐบาลกลางยังคงให้การสนับสนุนต่อไป เข้าสู่ยุคของ Joe Biden ก็ได้รื้อฟื้นสิ่งที่เคยประกาศไว้ในการนำอเมริกาสู่การลดการปล่อยมลพิษ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน เพื่อเข้าสู่ยุค Zero carbon ในอนาคต เพิ่มการลงทุนผลิต EV ของประเทศ กระตุ้นให้มีการซื้อ ลดการใช้เครื่องสันดาปภายในให้มากที่สุด

การวิเตราะห์ยอดขาย การใช้ EV เชิงเปรียบเทียบ

จากข้อมูลการวิเคระห์ทั้งหมดที่ได้กล่าวมา เป็นการวัดแบบเอาปริมาณขาย ปริมาณการใช้เป็นหลัก ซึ่งก็ถือว่าชัดเจนในเชิง Quantitative ซึ่งทีมขับซ่าทราบดีว่า ยังขาดการวัดเชิงเปรียบเทียบ ที่เป็น Comparative ที่บอกอีกมิติซึ่งจำเป็นต้องทราบคู่กันด้วย คือ ถ้ามองเฉพาะยอดการจดทะเบียน การใช้ EV ของจีนที่สูงถึง 2.3 ล้านคัน ขณะที่ยุโรป อเมริกามี 1.2 และ 1.1 ล้านคัน แต่ต้องทราบด้วยว่าถ้านำตัวเลขนี้ไปเทียบกับจำนวนรถทุกชนิดที่ขาย จดทะเบียน ใช้งานอยู่ ณ ปีนั้นๆ ผลจะออกมาอีกรูปหนึ่ง จีนมีสัดส่วนของ EV ต่อจำนวนรถที่ขายทั้งหมดแค่ 5.2% ขณะที่บางประเทศ EU อย่าง Norway มีสัดส่วน EV ถึง 56%, Iceland มี 25.5 %, Netherlands มี 15% !!  การวัดเชิงเปรียบเทียบสัดส่วนจะเป็นการแสดงถึงศักยภาพ การยอมรับ โอกาสการขยายตัว เป็นข้อมูลอีกแง่หนึ่งที่ต้องพิจารณา

โปรดติดตามตอนต่อไป…เจาะลึกตลาดรถ EV

 

 


ข่าวแนะนำ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา ยอมรับ เรียนรู้เพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy