ต่อจากครั้งก่อน ( วิ่งระยะเท่านั้นเท่านี้ “กินไฟ” ไปเท่าไร…การวัดประสิทธิภาพรถยนต์ EV การวัดที่สับสนวิงเวียน??) ซึ่งพบว่าค่าที่บอกมาเรื่องการบอกประสิทธิภาพที่แท้จริง เป็น “ค่าประมาณ” เท่านั้น เพราะในการใช้งานจริงเราไม่สามารถนำค่าความจุของแบตที่เขาบอกมาใช้ขับเคลื่อนออกมาทั้งหมด รถหลายรุ่นจะใช้ไฟได้ “ไม่หมดหม้อ” พูดภาษาชาวบ้าน !! เพราะถูกออกแบบมาให้เหลือติดก้นหม้อ เป็น “Buffer” ไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อยืดอายุแบตโดยไม่ให้สภาพของแบตไม่ลงไปถึง Deep cycle ทำลายสภาพตัวมัน ยกตัวอย่าง VOLKSWAGEN ID3 บอกความจุแบตมา 62 KWh แต่ได้จำกัดให้ปล่อยออกมา 58 KWh เท่านั้น อีก 4 KWh ตุนไว้ใน Buffer !! ***
ปัจจุบันจึงเริ่มมีการเพิ่มความรัดกุมของการบอกสเปคมากขึ้น เช่นแนะนำให้การวัดแต่ละครั้ง “ควร” ชาร์จแบตจนเต็มแล้ววิ่งไปจนแบตลงไปถึงช่วง Buffer ดังกล่าว แล้วดูว่าวิ่งไปได้ระยะทางเท่าใด ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์อาจไม่ปฏิบัติตามนี้ก็ได้ เป็นแค่หนึ่งแนวคิดที่ถูกเสนอขึ้นมาเท่านั้น
ในการใช้งานจริงนั้นการสิ้นเปลืองพลังไฟ ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพนั้นขึ้นกับสภาพจราจร ความเร็ว เส้นทาง อุณหภูมิ คล้ายคลึงกับรถสันดาปภายใน การวัดค่า Wh/mile หรือ km/KWh ก็เช่นกัน มีผลจากปัจจัยเหล่านี้
ค่าเท่าใดเปลือง-ไม่เปลือง (ไฟ)
ณ ปัจจุบันมีการวัดการกินไฟเทียบกับระยะทางออกมา เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นแก่ผู้ซื้อ ซึ่งก็จะพัฒนาให้กินไฟน้อยลงๆเช่นเดียวกับรถสันดาปภายใน โดยการวัดนั้นปัจจุบันทำตามมาตรฐานของ WLTP (Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure) ที่ยังคงมีรายละเอียดเหมือนกับที่ใช้วัดกับรถสันดาปภายในขนาดเล็ก (เรื่อง WLTP เก็บไว้ว่ากันวันหลัง)
เราจะนำการวัดประสิทธิภาพ การสิ้นเปลืองพลังไฟฟ้า (ณ ปัจจุบัน) ตามมาตรฐานเมืองนอกที่เขาเผยแพร่แก่ผู้ใช้รถไฟฟ้า เพื่อเปรียบเทียบก่อนซื้อ เรียบเรียงออกมาครบทั้งสกุล Mile และ Kilometre ทั้งการใช้พลังไฟต่อระยะทางและระยะทางต่อหน่วยการใช้พลังงาน
ความประหยัด ประสิทธิภาพไล่จากด้านบนของตารางมาด้านล่าง
หมายเหตุ ไอ้แถว (Row) ล่างสุด Might as well burn fuel นั้น มีค่าห่วยสุด คือทำได้พอๆกับรถใช้น้ำมันดั้งเดิม บอกเป็นนัยว่าไม่รู้จะซื้อมาใช้ทำไม กินพลังงานไม่ต่างกับเครื่องสันดาปภายใน
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าค่าต่างๆที่วัดได้ของรถยนต์ไฟฟ้าจะเปลี่ยนไปจากปัจจุบันเร็วมาก จากเทคโนโลยีที่ก้าวไปโคตรเร็วดังที่เราเห็นๆอยู่ ค่าในตารางนี้ก็เช่นกัน อีกสองปีมาดูก็จะล้าสมัยแน่นอน อย่างไรก็เริ่มทำความคุ้นเคยไว้แต่เนิ่นๆ เพราะโดย “คอนเซ็ปท์” ของมันน่าจะคงอยู่อีกนาน
“ทีมขับซ่า” ขอนำตารางเปรียบเทียบล่าสุดมาเสริมความเข้าใจต่อจากนี้ พึงสังเกตุว่า TESLA Model S ที่เราเคยยกให้สุดยอดด้านสมรรถนะ ชาร์จทีวิ่งได้ 367 ไมล์นั้น เมื่อนำมาวัดประสิทธิภาพตามตารางข้างบน กลับมีน้อยสุด ในขณะะที่ VOLKSWAGEN e-up ที่วิ่งได้แค่ 80 ไมล์ต่อหนึ่งชาร์จ กลับมีค่าประสิทธิภาพสูงสุด !!
พบกันหน้า 7 นะคร๊าบบ …..