เปิดราคามาเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ Haval Jolion Hybrid SUV โดยมีค่าตัวเริ่มต้นอยู่ที่ 879,000 บาท ในรุ่น Tech, 939,000 บาท สำหรับรุ่น Pro และปิดท้ายแบบดีงามพระราม 999 ไม่ข้ามล้านเหมือนที่หลายคนจินตนาการไว้ก่อนหน้า 999,000 บาท สำหรับรุ่น Ultra ที่มาพร้อมฟังค์ชั่นแบบจัดเต็ม (ส่องสเป็คและอุปกรณ์ที่ต่างกันใน Haval Jolion ทั้ง 3 รุ่นย่อย…คลิ๊ก) ซึ่งก่อนที่จะมีการเปิดราคา #ทีมขับซ่า มีโอกาสได้ทดลองขับ Haval Jolion Hybrid SUV ลองใช้ฟังค์ชั่น ซึ่งหลังจากที่ได้ทดลองใช้งานหนึ่งวันเต็ม ยังมีเครื่องหมายคำถาม ว่าแล้วก็ลองไปไล่ดูพร้อมๆ กันเลย
หลังจากที่รับฟังข้อมูลเป็นที่เรียบร้อย ก็เป็นเวลาของการทดลองฟังค์ชั่นต่างๆ ของ Haval Jolion Hybrid SUV ตั้งแต่เรื่องของอัตราเร่ง ที่ทางค่ายโฆษณาว่า สามารถทำความเร็วจาก 0-60 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 4.3 วินาที จากการออกตัวด้วยระบบ Launch Control สิ่งที่น่าสนใจของ นอกจากระบบ Adaptive Cruise Control ที่สามารถทำงานได้จนถึงจุดหยุดนิ่งแบบ Stop & Go แล้ว (ในการทดลองจริง ณ สนามทดสอบที่จัดไว้ ถือว่าหยุดได้เนียนอย่างน่าประทับใจ) พร้อมเร่งต่อโดยอัตโนมัติ ช่วยให้การขับขี่ภายในเมืองทำได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ #ทีมขับซ่า ประทับใจมากที่สุด สำหรับการทดลองขับในช่วงเช้าภายในสเตชั่นทดสอบก็คือ ระบบการช่วยถอยจอดด ที่รองรับการจอดทั้ง 3 รูปแบบ ก็คือ จอดเข้าซอง, จอดเทียบด้านข้าง และจอดแนวเฉียง พร้อมระบบเดินหน้าออกจากจุดจอดจนถึงจุดที่ปลอดภัย ไม่มีสิ่งกีดขวาง ซึ่งจากการทดลองในท่ายากๆ ทั้ง 2 รูปแบบแรก ถือว่า Haval Jolion Hybrid SUV นั้นสอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย เข้าจอดได้อย่างปลอดภัย และมีวิธีในการเลือกใช้ที่ง่าย ไม่ซับซ้อน (จอดได้เนียนเหมือนรุ่นพี่ Haval H6 แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือ ใน Haval Jolion Hybrid SUV จะไม่มีระบบจดจำ 50 เมตร สุดท้ายของการถอยแบบเดียวกับใน H6) ในจุดนี้ถ้าทางค่าย Great Wall Motor มีการนำเสนอฟังค์ชั่นและทดลองคุณสมบัติเด่นให้ลูกค้าได้เห็น (แบบที่เราเห็น) ก็น่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และความน่าสนใจในตัวสินค้าเพิ่มมาได้อีกไม่น้อย
นอกจากระบบช่วยจอดของ Haval Jolion Hybrid SUV จะทำหน้าที่ได้แบบ “ดีงาม” แล้ว สิ่งหนึ่งที่อยากจะชื่นชมเลยก็คือ ชุดกล้องมองรอบทิศทางความละเอียดสูง 4 ล้านพิกเซล สามารถแสดงผลได้อย่างคมชัดบนหน้าจอกลางขนาด 12.3 นิ้ว แบบเดียวกับที่พบได้ในรถระดับพรีเมี่ยม โดยสามารถเลือกปรับมุมมองได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะมุมมองในการถอยหลังที่ปรับได้มากกว่า 10 มุม ซึ่งช่วยให้สามารถกะระยะได้ง่าย และเข้าจอดหรือถอยหลังได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าคุณจะเป็นนักขับหน้าใหม่ที่ชั่วโมงบินยังไม่สูงมากก็ตาม
ลองในสถานีทดสอบ Haval Jolion Hybrid SUV กันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางจริง โดยเส้นทางที่ใช้ในการทดลองในครั้งนี้ ระยะทางไป – กลับ อยู่ที่ราว 250 กม. หลังจากขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย ก็มีเวลาพอให้ได้ลองเลือกปรับระบบต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องปรับผ่านหน้าจอกลาง เช่น โหมดการขับขี่ ที่มีให้เลือก 4 โหมด, การปรับน้ำหนักของพวงมาลัย 3 ระดับ ในจุดนี้การจะปรับในหลายๆ ฟังค์ชั่น อาจต้องทำตอนหยุดนิ่ง เพราะต้องเข้าถึงเมนูบนหน้าจอ (ที่ค่อนข้างกดยาก และต้องเน้นสักหน่อย) นั่นทำให้อาจจะต้องทำความคุ้นเคยกับตัวรถสักระยะ จึงสามารถใช้งานได้คล่อง การใช้งานโดยมีความเร็วจะไม่สามารถปรับได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เช่นเดียวกับการปรับการแสดงผลบนหน้าจอหน้าผู้ขับขี่ของ Haval Jolion Hybrid SUV การเข้าถึงเมนูต่างๆ ต้องใช้ความเข้าใจ เช่น การกดเพื่อดูระยะทาง, รอบการทำงานของเครื่องยนต์, อัตราสิ้นเปลือง, รูปแบบการใช้พลังงาน (ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. ขึ้นไป ไม่สามารถกดเพื่อเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้) ที่ยังดูไม่ตอบโจทย์กว่านั้น คือ หลังจากเรียกดูข้อมูลที่ต้องการได้ประมาณ 10 วินาที ระบบจะตัดกลับไปยังหน้าจอหลัก ที่แสดงผลในเรื่องของระบบรักษาเสถียรภาพของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนออกนอกเลน, การเตือนความเร็วตามป้ายจราจร ในจุดนี้หลังจากที่สอบถามกับทางทีมงานของ Great Wall Motor คือ ระบบกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาให้มีความเสถียร ซึ่งในอนาคต ก็คงจะมีรูปแบบและการใช้งานที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น
การตกแต่งภายในห้องโดยสารของ Haval Jolion Hybrid SUV ในรุ่น Ultra ที่มาในโทนสีอ่อน ดูหรูหรา มีราคาทีเดียว (ตัวรถมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย คือ Tech, Pro และ Ultra) เบาะนั่งออกแบบมาให้มีสัมผัสที่นุ่มนวลแบบเดียวกับรุ่นพี่ ฝั่งผู้ขับสามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง จับคู่พวงมาลัยแบบมัลติฟังค์ชั่นที่ปรับได้แค่ ขึ้น – ลง เท่านั้น ไม่สามารถปรับเข้า – ออกได้ ซึ่งหลังจากที่ได้ลองนั่งแล้ว แอบขัดใจเล็กน้อย เพราะไม่สามารถจัดท่าทางการนั่งที่ลงตัวได้ (ผู้ขับสูง 168 ซม.) จะปรับให้เบาะอยู่ในตำแหน่งที่พอดีกับพวงมาลัย ขาก็งอเกินไป, จะปรับขาให้พอดี ก็จับพวงมาลัยไม่ถึงในระยะที่ควรจะเป็น พวกกับเบาะที่ค่อนข้างนุ่ม ทำให้ผู้ขับขี่จมลงไปในเบาะ (ไม่มีดันหลังช่วย) กลายมาเป็นท่านั่งที่ดูจะ “ผิดธรรมชาติ” ไปพอสมควร เทียบกับคู่แข่งในคลาสหลายๆ รุ่น ถือว่าเสียเปรียบชัดเจนมาก อันเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนหลายๆ ท่านรู้สึกแบบเดียวกัน แต่สำหรับคนที่มีความสูงมากๆ (เช่น พี่ปลิ้น ที่นั่งไปด้วยกัน) อาจไม่รู้สึกถึงข้อสังเกตของ Haval Jolion Hybrid SUV ในจุดนี้ ด้านคันเกียร์เป็นแบบปุ่มหมุนฟรี (ไม่ได้เป็นล็อคบิดแล้วเด้งกลับ) การปรับเกียร์ในแต่ละตำแหน่ง จึงต้องอาศัยการดูที่หน้าจอ หรือปุ่มเกียร์เป็นหลัก ซึ่งอาจต้องใช้ความรอบคอบสักหน่อยในการควบคุม
ขุมพลังของ Haval Jolion Hybrid SUV นั้น
ทางค่ายโฆษณาว่ามีแรงม้าทั้งสิ้น 190 ตัว พร้อมกับแรงบิด 375 นิวตัน-เมตร ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวเลขดังกล่าว เป็นค่าที่ได้มาจากการบวกตัวเลขของกำลังและแรงบิดจากเครื่องยนต์ และมอเตอร์เพียวๆ ซึ่งไม่ได้มีการหักลบจากช่วงที่มอเตอร์และเครื่องยนต์ปล่อยกำลังในย่านเดียวกัน ตรงนี้จึงมีไว้แค่ “ฟังหู ไว้หู” แต่จากการได้ลองอัตราเร่งของ Haval Jolion Hybrid SUV แล้ว ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าพอใจ โดยตัวเลขจาก 0-100 กม./ชม. บนหน้าจอเครื่องมือ V Box ทำได้ดีสุดที่ 9.81 วินาที ซึ่งเกิดขึ้นในรันแรกของการทดสอบ แต่หากมีการวิ่งต่อเนื่อง ระยะเวลาที่ใช้ อาจเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เช่น ในรันที่ 2 วิ่งได้ 10.1 วินาที และรันที่ 3 วิ่งได้ 10.4 วินาที เป็นอาการปกติสำหรับรถไฮบริด ที่มีการทำอัตราเร่งสูงสุดต่อเนื่อง ที่เครื่องยนต์ไม่สามารถปั่นไปได้มากพอที่จะทำให้แบตเตอรี่ในระบบเต็มและพร้อมปล่อยกำลังสูงสุดอยู่ตลอดเวลา โดยความเร็วสูงสุดที่ Haval Jolion Hybrid SUV ทำได้คือ 156.1 กม./ชม. ซึ่งสมรรถนะในภาพรวมนั้น ถือว่าสูสีกับทางฝั่ง Honda HR-V e:HEV ที่มีตัวเลขพละกำลังต่ำกว่า
การทำงานของระบบ DHT หลังจากที่สอบถามจากทีมเทคนิคของ Haval Jolion Hybrid SUV ก็ได้ข้อมูลมาว่า เป็นการผสานการทำงานระหว่าง 3 รูปแบบ ทั้ง Series Hybrid, Parallel Hybrid และการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียวๆ ซึ่งหลังจากที่ได้ลองสังเกตก็คือ ในช่วงการทำงานที่ความเร็วต่ำ ระบบจะทำงานในลักษณะของ Series Hybrid ที่เครื่องยนต์มีหน้าที่ปั่นไฟจ่ายให้กับชุดมอเตอร์เพื่อขับเคลื่อน, ส่วนในย่านความเร็วปานกลาง หรือเดินทางด้วยความเร็วสูงแบบนิ่งๆ จะตัดการทำงานเข้าสู่โหมดที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ล้วนๆ (สังเกตได้จากเสียงของเครื่องยนต์ที่เล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารที่ความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. ขึ้นไป เนื่องจากใช้รอบในการหนุนค่อนข้างสูงราว 2,500 rpm+) ส่วนในช่วงการแร่งแซงที่ความเร็วสูง ในลักษณะที่ควรจะเป็นก็คือ Parallel Hybrid ที่ช่วยผสานกำลังขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยในส่วนรายละเอียดปลีกย่อยการทำงานในระบบส่งกำลังของ Haval Jolion Hybrid SUV ระบบจะคำนวนจากโหลดและความเร็วที่ใช้ เพื่อประมวลผลการตัดต่อกำลังให้เหมาะสมที่สุด การเดินทางในครั้งนี้ #ทีมขับซ่า ได้ลองขับ ในทุกช่วงความเร็ว ตั้งแต่ช่วงรถติดสลับหยุดนิ่ง, การวิ่งเป็นคาราวาน, การแร่งแซงบ่อยครั้ง ในทุกๆ ย่านความเร็วที่ทำได้ อัตราการสิ้นเปลืองของ Haval Jolion Hybrid SUV ออกมาที่ 15.9 กม./ลิตร
การเซ็ตช่วงล่างของ Haval Jolion Hybrid SUV นั้น ต้องยอมรับว่ามีความ “เป็นกลาง” ค่อนข้างสูง การใช้งานในความเร็วต่ำในเมือง ถึงความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ให้ความคล่องตัว รวมถึงความนุ่มนวลได้อย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว เสียงรบกวนภายในห้องโดยสารมีเข้ามาน้อย หากจะได้ยินมากที่สุด คงจะเป็นแค่เสียงยาง แต่หากใช้ความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ขึ้นไป เสียงลมจะมีเข้ามาบ้าง ซึ่งก็คงเป็นเรื่องปกติ การทรงตัวของช่วงล่างในย่านความเร็วสูง อาจรู้สึกว่า “ติดนุ่ม” แต่ไม่ได้ถึงกับย้วย ถ้าไม่ได้โยกหรือหักหลบกันแบบสุดตัว ในขณะที่เดินทาง หากคุณเป็นคนขี้รำคาญ อาจรู้สึกหยุดหงิดกับเสียงร้องเตือนที่มีโอกาสเกิดขึ้นจากรอบทิศทาง เช่น ขับในระยะที่ใกล้คันหน้ามากเกินไป, ออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยวค้างไว้ (เปิดแบบกระพริบแค่ 3 ครั้ง ระบบจะยังเตือนและดึงพวงมาลัยกลับให้อยู่ ว่าง่ายๆ…คือ ต้องตั้งใจเปิดไฟเลี้ยวนั่นแหละ) ตรงจุดนี้อาจต้องทำความเข้าใจหรือสร้างความคุ้นเคยกับตัวรถให้มากขึ้น
อีกระบบหนึ่งที่ Haval Jolion Hybrid SUV ใส่มาให้ก็คือ
Intelligent Single Pedal วัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถควบคุมความเร็วโดยใช้แป้นคันเร่งเพียงแป้นเดียว โดยเป็นการเติมความเร็วขณะกดคันเร่ง และลดความเร็วจนหยุดนิ่ง จากการหน่วงในขณะที่ยกคันเร่ง ซึ่งจากการได้ลดลองในหลายๆ ครั้ง แล้วนำความรู้สึกที่สัมผัสได้ เทียบกับอีกรุ่นในคลาสที่มีจุดขายในเรื่องนี้ พบว่าฟีลลิ่งการทำงานของ Intelligent Single Pedal ใน Haval Jolion Hybrid SUV ยังไม่สามารถคาดหวังประสิทธิภาพจากการใช้งานได้จริงอย่างที่คู่แข่งทำได้ คือ ยังมีอาการไหลค่อนข้างเยอะและกะระยะในการหยุดได้ยากมากเกินกว่าที่ควรตั้งความหวัง แต่สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมคือ แม้จะเป็นรถในรูปแบบไฮบริด แต่ฟีลลิ่งการเบรกของ Haval Jolion Hybrid SUV ถือว่ามีความเป็นธรรมชาติ กว่ารุ่นอื่นๆ ที่เคยสัมผัสมา ค่อนๆ แตะเบรก ความเร็วลดแบบเนียนๆ แต่หากต้องการแรงเบรกที่มากขึ้น เพียงเติมน้ำหนักที่เท้า ตัวลดก็สามารถลดความเร็วได้อย่างมั่นใจ
ในภาพรวมของ Haval Jolion Hybrid SUV
แม้จะยังไม่ใช่รถที่ถึงกับ Perfect ในทุกองค์ประกอบ แต่ก็ถือว่ามีหลายๆ ปัจจัยที่น่าจะดึงดูดผู้บริโภคได้ไม่น้อย ซึ่งเรื่องคาใจที่มีทั้งหมด หายไปเมื่อทาง GWM เปิดราคาของ Haval Jolion Hybrid SUV มาแบบชวนอ้าปากค้าง เห็นแบบนี้แล้ว…รอดูได้เลยว่า น้องใหม่จะมาแย่งส่วนแบ่งของรุ่นพี่ได้ดีมากขนาดไหน โดยเฉพาะกับ Honda HR-V e:HEV ที่เปิดตัวมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยนกัน